Wednesday, November 08, 2006

MAXIMUM VELOCITY (DANIELE VICARI, A)

ตอบคุณโอลิเวอร์ ต่อจากที่คุยกันในวันลอยกระทง

เนื่องจากในการไปเที่ยวต่างจังหวัดครั้งนี้ พวกเราอาจต้องผ่านไปในสถานที่ที่มีอสรพิษและอมนุษย์ ดิฉันก็เลยให้สัญญากับคุณโอลิเวอร์ไว้ว่าจะเอาคาถารับมือกับอสรพิษและอมนุษย์มาให้คุณโอลิเวอร์ท่องจำให้ได้ก่อนออกเดินทาง โดยคาถาดังกล่าวมีดังต่อไปนี้ค่ะ

1.ขันธปริตร (สำหรับอสรพิษ) อ่านได้ที่
http://www.geocities.com/buddamontra/page17.htm

2.อาฏานาฎิยปริตร (สำหรับอมนุษย์) อ่านได้ที่
http://api.settrade.com/actions/customization/IPO/newWebboard/board.jsp?content=qa.jsp&tid=5797&page=1

หนังที่ได้ดูในวันอังคารที่ 7 พ.ย. 2006

1. MAXIMUM VELOCITY (2002, DANIELE VICARI, ITALY, A) หรือ “ไปไม่ถึงดวงดาว”

รู้สึกประหลาดดีที่ได้ดูหนังที่มีตัวละครเอกเป็นนักแข่งรถ แต่กลับทำออกมาเป็นหนังชีวิตขมขื่น แทนที่จะเน้นฉากแอคชั่นแข่งรถแบบ INITIAL D (B+) หรือ THE FAST AND THE FURIOUS

สาเหตุที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มากๆอาจจะเป็นสาเหตุเดียวกับที่ทำให้ชอบ ONE MAN UP (2001, PAOLO SORRENTINO, ITALY, A+) มากๆ เพราะว่า

1.1 พระเอกหล่อ

1.2 ONE MAN UP มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักฟุตบอล แต่ไม่ได้เน้นความเก่งกาจของเขาในการเตะฟุตบอล แต่เน้นความล้มเหลวในชีวิตของเขา ส่วน MAXIMUM VELOCITY ก็เน้นความล้มเหลวในชีวิตของนักแข่งรถเช่นกัน

1.3 ตอนแรกที่ดู ONE MAN UP รู้สึกกลัวมากว่ามันจะเป็นหนังแนว “ล้มแล้วต้องลุกขึ้นสู้” ซึ่งไม่ใช่หนังแนวที่ดิฉันชอบ แต่ปรากฏว่ามันเป็นหนังแนว “ล้มแล้ว ก็ล้มตลอดไป ไม่มีวันได้เงยหน้าอ้าปากขึ้นอีกตลอดชีวิต” ก็เลยทำให้ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ

ตอนแรกที่ดู MAXIMUM VELOCITY ก็รู้สึกกลัวมากว่ามันจะเป็นหนังแนว “เรามีความฝัน เราต้องสู้เพื่อฝัน แล้วเราจะประสบความสำเร็จ เราอาจจะเสียกำลังใจในบางครั้ง เราอาจจะทะเลาะกันในบางครั้ง แต่ในท้ายที่สุดเราจะชนะ และเราจะปรับความเข้าใจกันได้ เราจะไปถึงดวงดาว”

แต่ปรากฏว่า MAXIMUM VELOCITY ไม่ได้ดำเนินเรื่องไปในแนวทางที่ดิฉันหวาดกลัว หนังเรื่องนี้ไม่ได้จบลงด้วยการที่ตัวละครนำปรับความเข้าใจกันได้ และตัวละครนำบางตัวก็ “ไปไม่ถึงดวงดาว” ก็เลยทำให้ชอบหนังเรื่องนี้อย่างมากๆ

ถึงแม้ตัวละครนำบางตัวในหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จอะไรบางอย่างในตอนท้ายเรื่อง แต่อารมณ์ในตอนจบของหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่อารมณ์สุขแบบ “ฝันเป็นจริง” เลย แต่มันกลับเป็นอารมณ์แห่งความเกลียดชัง, ขยะแขยง และความรู้สึกหดหู่ที่ชีวิตบางชีวิตต้อง “จมปลักดักดาน” กับอะไรบางอย่างตลอดไป


2.GO FOR ZUCKER (2004, DANI LEVY, A-)

No comments: