Sunday, February 25, 2007

pc's comments part 3

56519
ผมคงต้องขอขอบพระคุณคุณ Rosso
กับคุณตี๋ด้วยนะครับที่มีจิตใจที่เปิดกว้าง
ผมดีใจครับที่คุณ Rosso
คิดว่าสิ่งที่ผมเขียนมีประโยชน์ต่อคุณ
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ผมคิดว่า
มันเป็นแค่การอธิบายสิ่งที่คุณ Rosso
คิดอยู่ในใจได้เองอยู่แล้ว
และผมเพียงแค่นำมันออกมานำเสนอในรูปถ้อยคำเท่านั้นเองครับ


ถ้าเป็นเช่นนั้น
ผมก็คงต้องขอแสดงความยินดีทั้งกับคุณ Rosso และ
คุณตี๋ ด้วยครับ
กับการมีความคิดที่เป็นอิสระจากกรอบความเชื่อที่สืบทอดต่อๆกันมา
(เป็นความเชื่อ ไม่ใช่ความคิดแน่นอนครับ
เพราะความคิดมักจะนำไปสู่ความเคลือบแคลงสงสัยในความเชื่อ)
และกระบวนการปลูกฝังที่ทำให้เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย
มีน้อยคนที่จะตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อ
หรือตั้งคำถามกับระบบจารีตที่คอยปิดกั้นโอกาสในการสำรวจและทดลองกับความคิดและการใช้ชีวิตในทุกๆแง่มุมที่เป็นไปได้


ผมคิดเสมอว่า
มันง่ายกว่าสำหรับหลายๆคนที่จะจมปลักอยู่กับกรอบทางความคิดและจารีตแบบเดิมๆที่พวกเขาคุ้นเคย
พร้อมๆกับการปล่อยให้จารีตเหล่านั้นทำลายความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติที่มีอยู่ในตัว
เพราะความอยากรู้อยากเห็นนำไปสู่การเรียนรู้ในสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น
และทำให้เราต้องเผชิญหน้ากับข้อขัดแย้งในสิ่งที่เคยเชื่อถือ
การเผชิญหน้ามันจะเป็นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
และในการหาบทสรุป
จำเป็นต้องอาศัยพลังงานและสติปัญญาในการขบคิด
ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับสำหรับคนที่คิดว่าการใช้ความคิดมันเป็นเรื่องยุ่งยาก
จะไม่เป็นการง่ายกว่าเหรอครับที่จะยึดมั่นอยู่กับกรอบทางจารีตที่ตายตัว
และใช้มันเป็นเสมือนเกราะกำบังตัวเอง
ให้พวกเขาได้หลบอยู่ในนั้น
อย่างน้อยมันก็ช่วยปิดบังปมด้อยทางปัญญาที่พวกเขามี
และทำให้พวกเขาคิดว่า
ตัวพวกเขาสูงส่งพอที่จะตัดสินคนอื่นๆได้ด้วยระบบตรรกะทางจริยธรรมแบบตื้นๆของพวกเขา


ทั้งคุณ Rosso และ คุณตี๋ ทำได้ค่อนข้างดีครับ
ที่ได้ตระหนักว่ากรอบที่มองไม่เห็นมันมีอยู่
อาจจะในรูประบบความคิดของผู้คนในสังคมที่คอยเรียกร้องให้ทุกๆคนถูกกลืนได้เหมือนๆกัน
ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางวัฒนธรรมแบบเดียวกัน
แต่โอกาสในชีวิตที่สูญเสียไปจากการมีชีวิตภายใต้ข้อจำกัด
เราเองที่เป็นฝ่ายเสีย
ไม่มีคนอื่นๆที่ไหนมาสูญเสียกับเราด้วย
มันไม่ง่ายเลยนะครับกับการอยู่ในสังคมที่ chauvinist
แบบสังคมไทยนี้แล้วได้ตระหนักถึงข้อจำกัดที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
ว่า All chauvinistic values are toxic to the human
brains.

สำหรับท่านที่คิดว่าสื่อมีส่วนยั่วยุต่อพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ
ทำให้คนที่เสพย์เห็นผิดเป็นชอบ
จนคิดไปว่ามันเป็นสิ่งชอบธรรมที่จะดึงให้รัฐเข้ามาควบคุมการนำเสนอและเสรีภาพในการรับรู้
ไม่ว่าจะเป็น “คุณชาญ” “คุณครูกัลยา” “คุณอยากมั่ง”
หรือ “คุณสงสาร”
ลองอ่านลิงค์ข้างล่างนี้ดูก่อนนะครับ
มันอาจจะมีบางส่วนที่เกี่ยวกับการเซ็นเซอร์และอิทธิพลของสื่อ
ผมเคยเขียนแสดงความเห็นตอบเพื่อนท่านหนึ่งเอาไว้ในอีกกระทู้
และผมก็ไม่อยากจะเขียนซ้ำอีกรอบครับ
มันสิ้นเปลืองเนื้อที่และผมเองก็พิมพ์ช้ามากด้วย
ที่ผมเขียนเอาไว้
ผมได้ยกตัวอย่างที่พอจะมองเห็นได้ชัดเอาไว้บ้าง
มันอาจจะดูน้ำท่วมทุ่งไปบ้างอย่างที่คุณครูกัลยาว่าไว้
เพราะผมเขียนไม่ค่อยเก่ง
ยังไงก็ทนอ่านเอาหน่อยนะครับเพราะผมจะไม่ตอบซ้ำที่นี่
ยังไงก็ขอความกรุณาอ่านให้จบก่อนนะครับ

เป็นความเห็นที่ 47802 ครับ
เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปอ่านความเห็นอื่นๆที่ผมเขียนเอาไว้ในกระทู้เดียวกันนี้


http://www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=47138





“ ได้ยินมาเยอะแล้วประเภทฉันต้องมีสิทธิเสรีภาพ
แต่ชอบลืมว่าบางทีมันไปละเมิดคนอื่นเค้า
และก้อลืมไปว่าเค้าก้ออยากมีมันเหมือนๆกันกะคุณนั่นแหละ
ไอ้สิทธิเสรีภาพเนี่ย”

ไม่ทราบว่าคุณ “อยากมั่ง”
เข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือเปล่าครับ
ผมย้ำอยู่เสมอในทุกๆความเห็นที่แสดงออกมาว่า
การใช้สิทธิเสรีภาพต้องอยู่บนพื้นฐานในการเคารพสิทธิ์ในการมีเสรีภาพของผู้อื่น
และต้องมีความรับผิดชอบต่อผลกระทบต่อเสรีภาพของผู้อื่นด้วย
การใช้เสรีภาพไม่ได้หมายความว่าทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจนะครับ
เวลาที่ผมใช้เสรีภาพไปกับความสนุกสนานกับชีวิต
ไม่ว่าในรูปแบบไหนก็ตาม อาจจะเป็นการดื่ม
(ซึ่งตอนนี้ผมไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว)
ผมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะส่งเสียงดังรบกวนสิทธิ์ในการอยู่อย่างสงบสุขของคนอื่นๆ
ถ้าผมอยากมีเซ็กส์
มันก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจและความระมัดระวังในเรื่องของโรคติดต่อหรือการตั้งครรภ์
ถ้าผมจะใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง

ผมอาจจะเลือกพรรคการเมืองที่ผมเชื่อในจุดยืน
(ไม่แน่ใจว่าพรรคการเมืองของไทยจะมีให้เลือกหรือเปล่า)
แต่มันก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องติดตามเฝ้าระวังการทำงานของพรรคนั้น
ถ้าพวกเขามีอำนาจ
ผมก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ส่งมอบอำนาจให้กับพวกเขา
มันย่อมเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องติดตามว่า
พวกเขาใช้อำนาจตามอำเภอใจไปวางนโยบายเพื่อลิดรอนเสรีภาพของผู้อื่นหรือไม่
แม้ว่าการกระทำนั้นๆจะเป็นไปในทิศทางที่ทำให้ผมพอใจก็ตาม
แต่ถ้ามันไปละเมิดเสรีภาพที่ผู้อื่นพึงมี
ไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ
มันถือได้ว่าเป็นความรับผิดชอบของผมที่ต้องออกมาคัดค้านหรือแสดงความไม่พอใจให้ปรากฏ
การเฝ้าติดตามการทำงานของพรรคการเมืองที่ผมเลือก
ผมอาจจะไม่ได้ทำโดยการเข้าไปสืบค้นด้วยตัวเอง
เพราะมีกลุ่มองค์กรอิสระและกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคอยติดตามเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
ผมอาจจะทำโดยการให้การศึกษากับตัวเองอยากสม่ำเสมอ
เปิดรับข้อมูลอย่างรอบด้านจากทุกๆกลุ่ม
และใช้วิจารณญาณเท่าที่มีตัดสินการทำงานของผู้ที่ผมเลือกเอาจากข้อมูลที่ผมได้เรียนรู้
(มันน่าเศร้าตรงที่ว่า
พรรคที่ผมเลือกมักจะไม่ได้เป็นรัฐบาล)

ถ้าให้ยกตัวอย่าง
ผมอาจจะเป็นคนหนึ่งที่เกลียดนักการเมืองอย่าง
คุณสมัคร สุนทรเวช
แต่ถ้าพรรคการเมืองที่ผมเลือกใช้อำนาจไปปิดกั้นสิทธิ์ที่พึงมีของคุณสมัครในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
ผมก็คงต้องทำทุกอย่างที่ผมทำได้เพื่อแสดงการคัดค้าน
ถึงแม้ว่าผมจะเห็นว่าความคิดเห็นทางการเมืองของคุณสมัครมันไร้สาระ
อ้างข้อมูลมั่วๆ
เล่นกับกระแสชาตินิยมเพื่อปลุกปั่นใครก็ตามที่ปั่นหัวได้ง่าย
หรือ
สร้างความเสียหายให้กับบุคคลที่เขากล่าวพาดพิงถึงก็ตาม
เพราะยังไงเสีย
ผู้ที่ถูกพาดพิงสามารถใช้สิทธิ์ฟ้องร้องเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของคุณสมัครได้
ถ้าเห็นว่าการพาดพึงนั้นไม่ตรงกับความจริง
แต่การใช้อำนาจรัฐไปปิดกั้นสิทธิ์ที่พึงมี
มันเท่ากับไปปิดกั้นโอกาสของแฟนรายการของคุณสมัครในการรับรู้สิ่งที่พวกเขามีสิทธิ์จะได้รับรู้ด้วย
และผมไม่จำกัดว่าจะคัดค้านเฉพาะการใช้อำนาจของพรรคการเมืองที่ผมเลือกเท่านั้น
แต่ถ้าการใช้อำนาจมันเกิดโดยพรรคการเมืองที่ผมเลือก
ผมก็ยิ่งต้องถือว่าเป็นความรับผิดชอบในฐานะของหนึ่งเสียงที่ส่งมอบอำนาจ


จะเห็นได้นะครับว่าการตระหนักถึงเสรีภาพและผลกระทบ
มันเกิดขึ้นได้กับทุกกิจกรรมที่ทำ
เกิดขึ้นได้ในทุกระดับกิจกรรมทางสังคม
ตั้งแต่ความสัมพันธ์กับผู้คนรอบๆตัวไปจนถึงการเมืองระดับประเทศ
คุณ “อยากมั่ง” อาจจะถามกลับมาว่า
แล้วที่พวกดาราแสดงพฤติกรรมตามหัวข้อกระทู้
จะถือว่าเป็นการใช้เสรีภาพที่สร้างผลกระทบได้หรือเปล่า?
ผมถือว่า พฤติกรรมการแสดงออกของดารา
รวมถึงสิ่งต่างๆที่นำเสนอในสื่อก็ดี
มันไม่ได้เป็นการบีบบังคับให้ใครก็ที่ได้เห็นแล้วต้องเกิดความเชื่อถือ
เวลาที่คุณรับสารจากสื่อ
คุณยังมีอิสรภาพในการใช้วิจารณญาณของตัวคุณเองในการตัดสินว่า
สิ่งที่คุณเห็นมันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี
ควรจะที่ให้ความสำคัญหรือคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องไร้สาระ
ผิดกับการใช้อำนาจรัฐในการเซ็นเซอร์
ที่แย่งเอาสิทธิ์ในการรับรู้ ตัดสิน
และใช้วิจารณญาณต่างๆที่พึงมีไปจากตัวเรา
ผมไม่แน่ใจว่ามันส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของเยาวชนจริงหรือเปล่า
แต่การเซ็นเซอร์มันส่งผลกระทบต่อสิทธิในการรับรู้รับชมของผมไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นนะครับ
ยังผู้ที่รักการชมภาพยนตร์อีกหลายคน และผมก็คิดว่า
ความพยายามในการใช้บทลงโทษทางสังคมต่อนักแสดงในหัวข้อกระทู้
มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการเซ็นเซอร์ในพฤติกรรมการแสดงออกเลยครับ
ทั้งๆที่สิ่งที่เธอทำมันก็ไม่ได้ไปละเมิดสิทธิ์ของใครด้วยซ้ำ
แต่คุณก็มีสิทธิ์จะไม่ชอบครับ
สิทธิ์ที่จะชอบหรือไม่ชอบเป็นสิทธิ์ของคุณอย่างเต็มที่
และคุณก็สามารถจะยกเลิกการสนับสนุนผลงานของเธอด้วยการปฏิเสธการรับชมภาพยนตร์ที่เธอแสดงได้ทุกเรื่อง
หรือชักชวนทุกคนที่รู้จักให้เลิกสนับสนุนผลงานของเธอ
(แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของพวกเขาด้วยนะครับว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อคุณ)
นั่นคือขอบเขตเท่าที่คุณทำได้ (เท่าที่ผมนึกออก)

ถ้าคุณคิดว่า
การแต่งกายของเธอมีส่วนยั่วยุต่อพฤติกรรมเลียนแบบ
ซึ่งนำไปสู่การเกิดอาชญากรรมทางเพศหรือความรุนแรงต่อสตรี
ถ้าผมจะใช้ตรรกะในแบบเดียวกัน
ถ้าคุณคิดว่าการข่มขืนเกิดขึ้นเพราะอาชญากรเห็นว่าเหยื่อแต่งตัวยั่วยุ
และไปโทษสิ่งที่ได้เห็นจากสื่อ
มันก็เหมือนกับไปบอกว่า
ถ้าเด็กก่อคดีลักขโมยโทรศัพท์มือถือเพราะอยากจะได้
คุณคงต้องบอกว่า
เป็นเพราะโฆษณายั่วยุให้เกิดกิเลสใช่ไหมครับ
เพราะหน้าที่ของการโฆษณาก็คือการกระตุ้นให้เกิดการบริโภคอยู่แล้ว
และคุณก็คงต้องโทษบริษัทผู้ผลิตด้วยว่า
ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ
มีดีไซน์ล้ำจนเป็นที่ต้องการของตลาด
นั่นก็เท่ากับว่า
ไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่ตนก่อ
เพราะทุกคนต่างก็สามารถโทษสิ่งยั่วยุได้หมด
ถ้าคุณคิดว่าการควบคุมการรับรู้ต่างๆ
ไม่ว่าจะด้วยกลไกของรัฐหรือโดยสถาบันที่มีอำนาจทางสังคม
เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสังคมเรา
ทำไมไม่ลองเปรียบเทียบกับสังคมที่ประชาชนมีสิทธิ์ในการรับรู้ได้เต็มที่
หรืออย่างน้อยก็มากกว่าเราดูล่ะครับ อย่างที่ญี่ปุ่น
คุณสามารถจะเลือกชมภาพยนตร์เร็ตเอ็กซ์ได้แทบจะทุกรูปแบบ
แต่ทำไมอัตราการเกิดอาชญากรรม
โดยเฉพาะอาชญากรรมทางเพศของที่นั่นถึงจัดได้ว่าต่ำที่สุดในโลกล่ะครับ
บางทีผู้คนในประเทศที่ให้การเคารพสิทธิ์ของปัจเจกอาจจะเป็นพวกที่ต้องการความช่วยเหลือจากจิตแพทย์อย่างที่คุณชาญคิด
หรือบางที่พวกเขาควรจะเอาอย่างคุณชาญหรือหลายๆท่านที่นี่
มีระบบความคิดที่เหมือนกับคุณชาญ
มีทัศนคติแบบในแบบพิมพ์เดียวกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น
ผมสงสัยอยู่เหมือนกันครับว่าสังคมของเขาก็คงจะเจริญได้พอๆกับสังคมของเรา
แทนที่จะใช้พลังงานไปกับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
กลับต้องมาหมกมุ่นกับข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น
หมกมุ่นกับความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง
ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ก็ดีนะครับที่คนในสังคมที่ศิวิไลซ์เหล่านั้นไม่ต้องมาเป็นอย่างเรา
และเราก็คงทำได้เพื่อแค่ มองดูพวกเขาอยู่ห่างๆ
ดูวิถีชีวิตของพวกเขาผ่านสื่อ
ชีวิตในแบบที่เราไม่มีสิทธิ์จะมี
ภายใต้วัฒนธรรมและกรอบความคิดของพวกหมดสมรรถภาพ
พวกที่คอยแต่จะเรียกร้องให้ทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทางศีลธรรมตื้นๆของตน


หรือถ้าคุณคิดว่าคนไทยอย่างเรามีความสามารถในการใช้วิจารณญาณต่ำกว่าผู้คนในประเทศเหล่านั้น
ทีนี้ก็ต้องถามว่า
ทำไมเราจึงใช้วิจารณญาณได้ต่ำกว่าคนชาติอื่น
มีอะไรที่คอยกดไม่ให้เราพัฒนาการใช้วิจารณญาณ
เป็นไปได้ไหมว่า
วัฒนธรรมของเรามันทำให้เราหลายคนกลายเป็นพวกเก็บกดทางเพศ
และพวกเก็บกดทางเพศมันจะทนต่อแรงยั่วยุได้ต่ำ
และปิดกั้นสิทธิ์ที่จะเรียนรู้และหาประสบการณ์ในการใช้ชีวิตอย่างรอบด้านถือว่ามีส่วนด้วยหรือไม่?
ถ้ามีใครบางคนก่ออาชญากรรมทางเพศเพราะสิ่งที่ได้รับชมจากสื่อ
มันเป็นเพราะอิทธิพลของสื่อโดยตรงหรือว่าปัจจัยเฉพาะของบุคคลนั้น?
เช่น สภาพที่แวดล้อมตัวของเขาระหว่างการเจริญเติบโต
ทำไมคนที่ได้รับชมในสิ่งเดียวกันกับเขาจึงไม่ก่ออาชญากรรมเช่นเขา?
และการเซ็นเซอร์แบบเหมารวมโดยอาศัยมาตรฐานของคนที่ไม่ปรกติเพียงไม่กี่คน
จะถือว่าเป็นการปิดกั้นที่จะทำให้คนปรกติอีกเป็นล้านกลายมาเป็นพวกเก็บกดทางเพศได้หรือเปล่า?
การเซ็นเซอร์ที่คุณคิดว่าควรเป็นไปเพื่อปกป้องเยาวชน
ควรจะบังคับใช้รวมกับผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยหรือเปล่า?


อย่างที่ทราบกันดีนะครับว่า
การเซ็นเซอร์มันไม่ได้มีเฉพาะกับสื่อลามกอนาจารเท่านั้น
มันได้ลามมาถึงหนังนอกกระแส หนังอาร์ตเฮาส์
(หนังที่พวกในกระทรวงวัฒนธรรมคงไม่รู้ว่ามันคืออะไร)
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ยอมรับความชอบธรรมของการเซ็นเซอร์
นั่นก็เท่ากับว่าการเซ็นเซอร์อย่างที่เรามี
ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ในดีวีดี เพลง
หรือการบล็อกเว็บ
มันดำรงอยู่ได้เพราะมีคนอย่างคุณที่เห็นว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น
คุณคิดว่าคุณมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบหรือเปล่าครับ
ต่อโอกาสในการรับรู้ของผมกับผู้ชมอีกหลายๆคนที่ต้องสูญเสียไป
คุณคิดว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบหรือเปล่าครับ
ต่อภาพยนตร์ดีๆตั้งมากมาย
ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลจากหลายสถาบัน
แต่ไม่มีโอกาสมาลงแผ่นให้ดูในดีวีดีเพราะพวกขาดการศึกษาทางด้านวัฒนธรรมในกระทรวงเห็นว่าภาพต่างๆที่ปรากฏเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม
ไม่รู้ว่าพวกคนเหล่านั้นคิดว่าตัวเองมีดีอะไรไปตัดสินงานศิลปะร่วมสมัย
หรือบางทีอาจจะคิดว่าคุณวุฒิอันน้อยนิดและไร้ค่าที่พวกเขามีมันทำให้พวกเขารู้ดีกว่าคณะกรรมการเทศกาลภาพยนตร์ในยุโรป
และทำไม่สังคมนี้ถึงปล่อยให้พวกเศษสวะทางวัฒนธรรมเหล่านี้ขึ้นมามีอำนาจชี้ผิดชี้ถูกต่องานศิลปะร่วมสมัยทั้งๆที่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่คนพวกนี้มีความรู้อะไรเลย
จะมีหนังดีๆอีกสักกี่เรื่องที่เราพลาดโอกาสได้ชม
มีหนังอีกกี่เรื่องที่ผู้สร้างชาวไทยอาจจะได้สร้าง
แต่ต้องล้มเลิกความคิดเพราะเกรงว่าจะถูกแบน
ความสูญเสียพวกนี้คุณคิดว่าคุณต้องมีส่วนรับผิดชอบหรือเปล่าครับ


สำหรับผมแล้ว ผมก็ยืนยันอย่างเดิมว่า
ประเด็นมันไม่ใช่ศิลปะหรืออนาจาร
ถ้าการดูหนังเอ็กซ์ในที่ส่วนตัวไม่ทำให้คุณออกไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร
หรือกิจกรรมใดๆก็ตามที่คุณทำแล้วมันไม่ส่งผลต่อความสงบสุขในชีวิตของผู้อื่น
คุณก็มีสิทธิ์ที่จะได้ทำแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่สูงส่งทางด้านศีลธรรมก็ตาม
และก็ต้องแยกให้ออกเช่นกันนะครับว่าการดูหนังเอ็กซ์กับการออกไปก่ออาชญากรรมทางเพศมันเป็นคนละเรื่องกัน
จะมีอะไรที่เป็นส่วนตัวไปกว่ากิจกรรมทำในที่ส่วนตัวอีกล่ะครับ
แต่มันกลายเป็นว่า เดียวนี้
ภายใต้กฎหมายว่าด้วยสื่อลามกอนาจารฉบับใหม่
แค่มีสื่อเหล่านั้นไว้ในครอบครองเพื่อการชมภายในที่พักอาศัย
ก็นับได้ว่าผิดกฎหมายแล้ว
นี่เรียกได้ว่าสิทธิ์ของผมถูกละเมิดไปเรียบร้อยแล้วหรือเปล่าครับ
คุณอาจจะบอกว่า ผมอาจจะทำกิจกรรมอย่างอื่นก็ได้
แต่ความสุขของผมกับของพวกคุณมันจำเป็นต้องเหมือนกันหรือเปล่าล่ะครับ
และโทษทีเถอะครับ พวกคุณคิดว่าพวกคุณเป็นใคร
มีดีอะไรที่จะมาเที่ยวบอกกับผมว่าผมควรจะมีชีวิตยังไง
ทุกอย่างที่ผมและผู้ที่รักการชมภาพยนตร์อีกหลายคนทำ
ไม่เคยไปละเมิดสิทธิ์ในการมีเสรีภาพของใคร
แต่ขอบเขตของสิทธิ์ของพวกคุณ คุณก็ยังไม่รู้กันเลย
(นี่อาจจะเป็นผลของการอยู่ภายใต้ระบบจารีตมาเป็นเวลานาน
ถึงได้สับสนว่าขอบเขตในสิทธิ์ของพวกคุณมีกันแค่ไหน
มีสิทธิ์จะไปเรียกร้องอะไรจากใครได้บ้าง
พวกคุณถึงได้พยายามกลืนทุกๆคนให้เหมือนกับพวกคุณได้อย่างไม่เคยรู้สึกละอาย)
ถ้าคุณจะมาบอกผมว่า การดูหนัง หรือ
การสนองกิเลสตัณหาของผมในที่ส่วนตัวเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
ผมก็ขอลองต่อยอดความคิดของพวกคุณดูก็แล้วกันนะครับ
ความสุขทุกอย่าง อย่างน้อยก็ความสุขทางโลก
ก็คือการตอบสนองต่อกิเลสตัณหาทั้งนั้น
แต่ละคนก็มีกิเลสตัณหาไปคนละแบบ
ไม่ใช่ว่าของคุณสูงส่งกว่าของผม
หรือของผมสูงส่งกว่าของคุณ
ถ้าคุณเห็นว่าการตอบสนองต่อกิเลสตัณหาไม่ใช่สิ่งจำเป็น
บางที สิ่งที่เราเรียกกันว่า “ความสุข”
อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นก็ได้
การอยู่อย่างไม่มีความสุขมันก็คงไม่ถึงกับทำให้เราตาย
เราสามารถจะอยู่ไปวันๆเพื่อรอวันตายก็ได้
หรืออยู่อย่างขาดแรงกระตุ้นในการใช้ชีวิตก็ได้
การที่พวกคุณมาเที่ยวยกตัวเองว่า
ความสุขหรือหนทางในการแสวงหาความสุขของคนอื่นเป็นของต่ำหรือเป็นเรื่องชั่วช้า
มีแต่ของพวกคุณเท่านั้นที่ประเสริฐ
ชีวิตที่ต้องสูญเสียกับการอยู่อย่างไม่มีความสุข
หรือถูกปิดกั้นโอกาสในการแสวงหาความเพลิดเพลิน
สำรวจและทดลองกับชีวิตในทุกๆแง่มุม
พวกคุณคิดว่าพวกคุณมีปัญญาจะคืนเวลาในชีวิตให้กับผมหรือใคร
ที่ต้องเสียไปเพราะทัศนคติและการเรียกร้องของพวกคุณหรือเปล่า
ที่เที่ยวไปดึงเอากลไกต่างๆเข้ามาวุ่นวายกับเสรีภาพของชาวบ้าน
พวกคุณคงไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไรใช่ไหมครับ

จากคุณ : pc : - [ 25 กพ. 2007 01:20:58 ]

No comments: