Sunday, June 07, 2015

BEATRIZ’S WAR (2013, Bety Reis + Luigi Acquisto, East Timor, A+30)



 BEATRIZ’S WAR (2013, Bety Reis + Luigi Acquisto, East Timor, A+30)

--ชอบมากกว่า THE RETURN OF MARTIN GUERRE (1982, Daniel Vigne) และ SOMMERSBY (1993, Jon Amiel) ที่ใช้โครงเรื่องเดียวกัน เพราะในเวอร์ชั่นติมอร์ตะวันออกนี้ “ความรัก” ถูกลดทอนความสำคัญลง แต่หนังไปให้น้ำหนักกับเรื่องสงครามระหว่างติมอร์ตะวันออกกับอินโดนีเซียแทน และหนังมี passion มากๆกับการถ่ายทอดภาพสงครามนี้และความทุกข์ยากลำเค็ญของชาวติมอร์ตะวันออก หนังมันก็เลยทรงพลังมาก และส่งผลให้เวอร์ชันติมอร์ตะวันออกชนะเวอร์ชั่นฝรั่งเศสและเวอร์ชั่นอเมริกันไปได้อย่างง่ายดาย

--สิ่งที่สำคัญในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างนางเอก กับ “ผู้ชายที่กลับมาจากสงคราม ซึ่งอาจจะเป็นผัวของเธอ หรือผู้ชายคนอื่นปลอมตัวมา” แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างนางเอก กับพี่สะใภ้ ซึ่งทั้งสองต่างก็รับมือกับสงครามด้วยวิธีการต่างๆกันไป และต่างก็กล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่งว่าใช้วิธีการที่ผิดพลาดในการรับมือกับสงคราม ฉากที่นางเอกทะเลาะกับพี่สะใภ้นั้นทรงพลังมากๆในแง่ของบทสนทนา คือแต่ละประโยคที่ผู้หญิงสองคนนี้โต้ตอบกันนั้นมันเจ๋งเป้งมากๆ คือมันไม่ใช่การด่าทอของผู้หญิงสองคนประเภท หญิง A ด่าว่า “อีจี๋ดอกมะลิ” แล้วหญิง B ด่ากลับว่า “อีปิ๊ดอกทอง” หรืออะไรทำนองนี้ แต่มันเป็นการปะทะกันของแนวคิดที่แตกต่างกันในการรับมือกับสงคราม

คือปกติแล้วเราจะเห็นการปะทะกันของขั้วความคิดแบบนี้ในฉากที่ “ปัญญาชน” หรือ “ผู้ก่อการร้าย” ทะเลาะกันในหนังอย่าง THE UGLY ONE (2013, Eric Baudelaire, A+30) น่ะ แต่พอการปะทะกันของขั้วความคิดนี้มันมาอยู่ในฉากที่ “นางเอกทะเลาะกับพี่สะใภ้” มันก็เลยเกิดความน่าสนใจดี คือตัวละครมันเอื้อให้เกิดฉากแบบเมโลดราม่า แต่ตัวละครมันกลับทะเลาะกันในประเด็นที่จริงจังและ thought provoking มากๆแทน อย่างเช่นประเด็นที่ว่า เราควรแก้แค้นหรือไม่ เราควรแก้แค้นในระดับไหน มันจะเป็นการทำลายสันติภาพหรือไม่ เราต้องยอมถูกข่มขืนเพื่อแลกกับสันติภาพหรือไม่ เราผิดหรือไม่ที่ไม่ฆ่าผู้ร้าย แล้วปล่อยให้มันรอดชีวิต แล้วมันก็เลยกลับมาฆ่าครอบครัวเราในภายหลัง, etc. การที่นางเอกกับพี่สะใภ้ด่าทอกันด้วยประเด็น dilemma ที่มันน่าสนใจสุดๆแบบนี้มันก็เลยทำให้ฉากนี้น่าสนใจมากๆ

--ในแง่ production แล้ว หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงหนังสั้นกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขาที่มีคุณ Supamok Silarak เข้าไปช่วยเหลือน่ะ คือมันเป็นหนังทุนต่ำ แต่ถ่ายทำอย่างประณีตสุดๆ ช็อตแต่ละช็อตได้รับการออกแบบมาอย่างดีมาก บทสนทนาแต่ละประโยคได้รับการออกแบบมาอย่างดีมาก และเนื้อเรื่องก็รันทด สะเทือนใจ และทรงพลังมากๆ เพราะมันเล่าโดยคนที่เผชิญกับความทุกข์ยากลำเค็ญมาจริงๆ แต่เล่ามันออกมาโดยไม่มีความฟูมฟายเลย

คือถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะดูเหมือนหนังทุนต่ำ แต่เราว่ามันถ่ายภาพออกมาได้สวยแบบทุนต่ำดีมากๆนะ ฉากหลายๆฉากมันดูโล่งๆ เหมือนไม่ค่อยมีสิ่งของอะไรมาประกอบฉากมากนัก แต่มันเหมือนได้รับการออกแบบเฟรมภาพมาอย่างดี ฉากที่ทหารค่อยๆถูกยิงตายทีละคนกลางชายหาดนี่ทรงพลังมากๆ และอีกฉากที่ทรงพลังมากๆคือฉากที่ตัวละครสองคนคุยกันท่ามกลางความมืด คือเราเห็นแต่หน้าตัวละครสองคนลอยอยู่ท่ามกลางความมืด กับแสงตะเกียง แต่ไม่เห็นอุปกรณ์ประกอบฉากอะไรเลยในฉากนั้น คือฉากนี้แทบไม่ต้องใช้ทุนสร้างอะไรเลย แต่กลับถ่ายออกมาได้สวยและทรงพลังสุดๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะแตกต่างจากหนังชาวเขาของไทยก็คือ เราเดาว่านางเอกหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นนักแสดงมืออาชีพน่ะ คือเธอแสดงได้อย่างเข้มข้น ทรงพลัง รุนแรงมากๆ ดูแล้วจะนึกถึงคุณจารุนันท์ พันธชาติตลอดเวลา คือถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็นหนังไทย ก็คงต้องใช้นักแสดงที่มีฝีมือจริงๆระดับคุณจารุนันท์เท่านั้นแหละ ถึงจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและ passion ที่รุนแรงพลุ่งพล่านๆมากๆออกมาแบบนี้ได้

SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
--อีกอย่างที่ทรงพลังมากๆก็คือประโยคที่ตัวละครพูด ที่ออกมาในทำนองที่ว่า “ถึงฉันจะรักเธอมากแค่ไหน ความยุติธรรมก็สำคัญกว่า”  ซึ่งเราเห็นด้วยมากๆ คือถึงแม้เราจะรักใครมากแค่ไหน แต่ถ้าหากเขาทำผิด หรือเป็นฆาตกรที่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์ เราก็จะไม่ใช้ความรักของเขาเป็นข้ออ้างในการช่วยให้เขาพ้นผิด หรือไม่ต้องรับโทษ เพราะความยุติธรรมสำคัญกว่าความรักในกรณีนี้

No comments: