Tuesday, January 05, 2016

THE SCARLET LETTER (1973, Wim Wenders, West Germany, 90min, A+25)

THE SCARLET LETTER (1973, Wim Wenders, West Germany, 90min, A+25)

1.สิ่งที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ ก็คือไม่รู้ว่าทำไมเวนเดอร์สถ่ายหน้านักแสดงแบบโคลสอัพ แล้วมันทำให้นักแสดง/ตัวละครออกมาดูเป็นมนุษย์มากๆ มันอธิบายไม่ถูกน่ะ แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เจอในหนังทั่วๆไป แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกพิเศษกับหนังเรื่องนี้ คือเวลากล้องโคลสอัพไปที่ใบหน้านักแสดง/ตัวละครในหนังเรื่องอื่นๆ เราจะรู้สึกว่าเรากำลังดูนักแสดงที่กำลังสวมบทบาทเป็นตัวละครตัวนั้นอยู่ และนักแสดงกำลังสื่ออารมณ์ความรู้สึกเรื่องราวของตัวละครตัวนั้นออกมา แต่ในหนังเรื่องนี้นั้น เวลากล้องโคลสอัพไปที่ใบหน้าตัวละคร เราจะรู้สึกเหมือนเราเห็นภาพจิตรกรรมแนว portrait หรือ self-portrait อะไรทำนองนี้ มันเป็นใบหน้าของมนุษย์จริงๆ และมันเป็นใบหน้าที่เก็บงำอดีตและอารมณ์ความรู้สึกส่วนนึงเอาไว้ ไม่พยายามแสดงมันออกมา คือในขณะที่การโคลสอัพในหนังทั่วไปทำให้เรามุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่นักแสดงกำลังแสดงออกมาเพื่อ “สื่อสารกับผู้ชม”  แต่การโคลสอัพในหนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่า เรากำลังมองใบหน้าของมนุษย์จริงๆ มนุษย์ที่มีอดีต มีความลับอยู่ในใจ มนุษย์ที่กำลังคิดเรื่องร้ายๆอยู่ในใจ แต่พยายามไม่แสดงมันออกมา มนุษย์ที่อัดอั้นตันใจ แต่พยายามทำใบหน้าเรียบเฉย คือใบหน้าในหนังเรื่องนี้มันเข้าใกล้มนุษย์จริงๆในแง่ที่ว่า มนุษย์จริงๆมันไม่พยายามแสดงอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดในใจตนเองออกมาเพื่อสื่อสารกับคนดูไง แต่มนุษย์จริงๆมันมีอดีต มีอะไรอยู่ในใจเยอะมาก และมันพยายามควบคุมใบหน้าของตนเองเพื่อไม่แสดงมันออกมาทั้งหมด หรือแสดงมันออกมาเพียงแค่ 10% เท่านั้น

2.แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ไม่เข้าพวกกับหนังเวนเดอร์สส่วนใหญ่ เพราะมันเป็นหนังที่เน้นการเล่าเรื่องแบบชัดเจน เห็นเส้นเรื่องเด่นชัด และมีดนตรีประกอบที่เร้าอารมณ์แบบพังพินาศมากๆ (เข้าใจว่าเวนเดอร์สคงโดนสตูดิโอหรือนายทุนบังคับในส่วนนี้) แต่ตอนดูก็จะนึกถึงหนังเรื่องอื่นๆของเวนเดอร์สเช่นกัน อย่างเช่น

2.1 หนังเน้น landscape มากๆ ช่วงเปิดเรื่องประมาณ 5 นาทีแรกนี่นึกว่า JAUJA (2014, Lisandro Alonso, Argentina) และหนังเรื่องอื่นๆของเวนเดอร์สก็ให้ความสำคัญกับ landscape เช่นกัน

2.2 หนังเน้นความน่ารักของเด็กหญิงตัวน้อยๆ เหมือนกับ ALICE IN THE CITIES (1974, Wim Wenders)

2.3 Hester Prynne (Senta Berger) นางเอกของหนังเรื่องนี้ เป็นคนนอกของสังคม ที่ดูเหมือนจะไม่อินังขังขอบกับสังคมสักเท่าไหร่ ซึ่งตัวเอกในหนังหลายๆเรื่องของเวนเดอร์สก็มีลักษณะเหมือนเป็นคนนอกของสังคมเช่นกัน

3.พอดูแล้วก็อดเทียบกับ THE SCARLET LETTER (1995, Roland Joffé) เวอร์ชั่น Demi Moore ไม่ได้ ซึ่งเวอร์ชั่นเดมี่ มัวร์นี่เป็นเวอร์ชั่นที่ถูกด่าอย่างรุนแรงมาก แต่เรารับหนังเรื่องนั้นได้ 555 เพราะเราชอบตัวละครผู้หญิงหัวแข็งที่ไม่ยี่หระต่อสังคมแบบนั้น

เราอาจจะชอบ THE SCARLET LETTER ทั้งสองเวอร์ชั่นนี้ในระดับใกล้เคียงกันนะ แน่นอนว่าเวอร์ชั่นของเวนเดอร์สมัน “ดี” กว่า แต่เวอร์ชั่นของเดมี่ มัวร์ก็ได้ใจเราในแง่ความหัวแข็งของนางเอกนี่แหละ

ส่วนในเวอร์ชั่นของเวนเดอร์สนั้น ตัวละครนางเอกดู “อ่อนนอก แข็งใน” น่ะ คือหน้าตาของเธอดูไม่ได้เปล่งประกายความกร้าวออกมาแบบเดมี่ มัวร์ หน้าตาเธอดูเหมือนผู้หญิงเรียบร้อย อ่อนโยน แต่เธอก็ถูกชาวบ้านรุมด่าว่า “อีกะหรี่ อีกะหรี่ มึงควรถูกจับเผาทั้งเป็น” ตลอดเวลา แต่เธอก็ยังทำหน้าเรียบเฉย อ่อนโยนอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ทำหน้าถมึงทึงตอบกลับไป คือหน้าเธอดูอ่อนโยนน่ะ แต่การที่เธอไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการโดนด่าว่า “อีกะหรี่” ตลอดเวลาแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าในใจเธอเข้มแข็งมาก

4.สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากในเวอร์ชั่นของเวนเดอร์ส ซึ่งเราจำไม่ได้ว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในเวอร์ชั่นของเดมี่ มัวร์หรือเปล่า คือตัวละครหญิงบ้าในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นตัวละครที่ได้ใจเรามากๆ คือในเวอร์ชั่นของเวนเดอร์สนั้น มันจะมีตัวละครสาวสวยในหมู่บ้านคนนึงที่เป็นบ้า อยู่ดีๆก็จุดไฟเผาตัวเอง และเป็นเพียงคนเดียวในหมู่บ้านที่ประกาศตัวเข้าข้าง Hester Prynne อยู่ตลอดเวลา เธอพยายามชวนนางเอกเข้าไปในป่า และบางวันเธอก็ใส่ชุดที่มีตัวอักษร A ประทับที่หน้าอกเหมือนนางเอก เพื่อให้กำลังใจนางเอกที่ถูกบังคับให้ใส่ชุดแบบเดียวกัน

เราว่าเรา identify กับตัวละครทำนองนี้มากๆ มันทำให้เรานึกถึงตัวละครเพื่อนนางเอกที่ Katrin Cartlidge แสดงใน BREAKING THE WAVES (1996, Lars von Trier)  คือใน THE SCARLET LETTER กับ BREAKING THE WAVES เราอาจจะไม่ identify ตัวเองกับตัวละครนางเอกมากเท่ากับตัวละครเพื่อนนางเอก เพราะตัวละครนางเอกในหนังทั้งสองเรื่องนี้มัน sacrifice ตัวเองเพื่อบูชาความรัก แต่ตัวละครเพื่อนนางเอกในหนังสองเรื่องนี้มันไม่ได้บูชาความรัก แต่มันออกมาเพื่อด่าสังคมใจแคบ หรือเพื่อปะทะกับสังคมใจแคบอย่างตรงไปตรงมา มันก็เลยใกล้เคียงตัวเรามากกว่า

เสียดายเรายังไม่ได้ดู THE SCARLET LETTER เวอร์ชั่นปี 1926 ที่กำกับโดย Victor Sjöstrom และนำแสดงโดย Lillian Gish จะได้นำมาเปรียบเทียบกัน 3 เวอร์ชั่น


5.รู้สึกว่าเวนเดอร์สจะไม่ค่อยทำหนังที่ตัวละครเอกเป็นผู้หญิงนะ มันก็เลยอาจจะเป็นปัจจัยนึงที่ทำให้เราไม่อินกับหนังของเวนเดอร์แบบรุนแรงเท่ากับหนังของ Rainer Werner Fassbinder, Ulrike Ottinger และ Werner Schroeter และเวนเดอร์สก็เลยไม่ใช่ผู้กำกับคนโปรดของเรา 555 แต่พอเวนเดอร์สกำกับหนังที่มีตัวละครเอกเป็นหญิงแกร่ง อย่าง THE SCARLET LETTER และ UNTIL THE END OF THE WORLD (1991, Wim Wenders, A+30) เราก็พบว่า เราชอบมันมากเลยทีเดียว

No comments: