Sunday, November 06, 2016

HOT SUGAR’S COLD WORLD (2015, Adam Bhala Lough, documentary ,A+30)

HOT SUGAR’S COLD WORLD (2015, Adam Bhala Lough, documentary ,A+30)

1.ช่วงนี้ได้ดูหนังสารคดีเกี่ยวกับศิลปินติดๆกัน 4 เรื่อง ซึ่งได้แก่เรื่องนี้, OASIS: SUPERSONIC (2016, Mat Whitecross, A+25), ART AND CRAFT (2014, Sam Cullman + Jennifer Grausman, A+25) และ MAD TIGER (2015, Michael Heartlein + Jonathan Yi, A+) ปรากฏว่าเราชอบ HOT SUGAR’S COLD WORLD มากที่สุด ซึ่งเป็นเพราะว่าเราถูกโฉลกกับตัว subject ในหนังเรื่องนี้มากที่สุด

คือบางทีระดับความชอบที่มีต่อหนังสารคดีแต่ละเรื่อง อาจจะไม่ได้เกิดจากฝีมือของผู้กำกับหนังเป็นสำคัญ เพราะผู้กำกับหนังสารคดีหลายเรื่องอาจจะทำเพียงแค่บันทึกชีวิตและคำให้สัมภาษณ์ของตัว subject เท่านั้น เพราะฉะนั้นความดึงดูดของเราที่มีต่อตัว subject ของหนังจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อระดับความชอบ 

คือผู้กำกับหนังสารคดีหลายเรื่องอาจจะไม่ได้มีอิทธิพลมากนักต่อสไตล์และเนื้อหาของหนังน่ะ ซึ่งแตกต่างจากหนัง fiction ที่ตัวผู้กำกับอาจจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อสไตล์และเนื้อหาของหนัง fiction 

โดยในส่วนของ OASIS: SUPERSONIC นั้น เราผูกพันกับตัว subject แค่ในระดับปานกลาง และในส่วนของ ART AND CRAFT นั้น เราพบว่าตัว subject มีความน่าสนใจสุดๆในแง่สิ่งที่เขาทำ แต่เรากลับ ไม่ถูกโฉลกกับตัวเขาในแง่บุคคล คือเรารู้สึกว่าตัวนักวาดภาพปลอมใน ART AND CRAFT เป็นมนุษย์ที่พิศวงและน่าสนใจดีน่ะ แต่ทำไมเรารู้สึกระแวงหรือไม่ไว้วางใจเขาก็ไม่รู้ เหมือนเขาเป็น subject ที่น่าสนใจ แต่เราคงไม่กล้าคบเขาเป็นเพื่อน

ในส่วนของ MAD TIGER นั้น เราพบว่าตัว subject เป็นบุคคลประเภทที่เราไม่ค่อยสนใจน่ะ คือเป็นคนประเภทโผงผาง, extrovert อย่างรุนแรง แต่เรามักจะถูกโฉลกกับศิลปินที่ introvert แบบใน HOT SUGAR’S COLD WORLD มากกว่า คือนักดนตรีใน MAD TIGER มันเน้นความโฉ่งฉ่าง แต่นักดนตรีใน HOT SUGAR’S COLD WORLD มันเน้นความนิ่งเงียบ

ในส่วนของ HOT SUGAR’S COLD WORLD นั้น เรารู้สึกถูกโฉลกกับตัว subject มากๆ คือเราไม่เคยรู้จักศิลปินรายนี้มาก่อนเลยนะ แต่เราพบว่าสิ่งที่เขาทำมันน่าสนใจมาก ทั้งการไล่เก็บเสียง room tone ในห้องต่างๆ, การบันทึกเสียงต่างๆในชีวิตประจำวัน, การบันทึก เสียงของความเงียบในสถานที่ต่างๆ

2.จะว่าไปแล้ว การบันทึกเสียงของ Hot Sugar ในหนังเรื่องนี้มันก็คล้ายๆกับหนังทดลองกลุ่มที่เราชอบน่ะ เพราะ Hot Sugar เน้นบันทึกเสียงของ ชีวิตประจำวัน”, “room tone” และ ความเงียบและเราก็พบว่าเรามักชอบหนังที่ถ่ายทอด ชีวิตประจำวัน”, “สถานที่โล่งๆและ ภาพและเสียงที่ไม่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นน่ะ อย่างเช่นหนังของ Teeranit Siangsanoh และ Wachara Kanha บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกถูกโฉลกกับ Hot Sugar อย่างมากๆ เพราะ การบันทึกเสียงของเขาทำมันสามารถเทียบเคียงได้กับ การบันทึกภาพของ Teeranit และ Wachara

3.ชอบหลายๆอย่างในหนังเรื่องนี้มากๆ โดยเฉพาะประวัติครอบครัวของ Nick Koenig (Hot Sugar) ที่รอดชีวิตจากค่ายกักกันเอาช์วิตซ์ของนาซีในสงครามโลกครั้งที่สอง เรื่องราวในค่ายกักกันชาวยิวของครอบครัวนี้หนักมากๆ ทำให้นึกถึงหนังอย่าง SOPHIE’S CHOICE (1982, Alan J. Pakula)

4.เรื่องราวของเพื่อนบ้านขอNick Koenig ก็รุนแรงมากๆ ที่เป็นตาแก่ทหารผ่านศึกที่สักหน้าของตัวเองทั้งหน้า คือเราเห็นตาแก่คนนี้แล้วนึกถึงอนาคตของตัวเองมากๆ คือเป็นชายชราที่ใช้ชีวิตตามลำพังคนเดียวในวัย 80 กว่าปี และแทบไม่มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงใดๆทั้งสิ้น ชีวิตของเขาผ่านอะไรมามาก แต่ต้องใช้ชีวิตบั้นปลายของตนเองอย่างเงียบๆสมถะตามลำพัง

และในงานศพของเขา ก็มีคนมางานศพเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือ Nick Koenig

5.ชอบช่วงที่ไปเจอตัวตลกขายพลุด้วย ช่วงนั้นนึกว่าอยู่ดีๆชีวิตก็กลายเป็นหนัง thriller โดยไม่ได้ตั้งใจ

No comments: