Wednesday, January 24, 2018

BLOOD OF MY BLOOD (2011, João Canijo, Portugal, A+30)

BLOOD OF MY BLOOD (2011, João Canijo, Portugal, A+30)

1.รู้สึกเหมือนมันเป็นส่วนผสมระหว่าง Mike Leigh กับ Brillante Mendoza และเราไม่ชอบส่วนที่เป็น Mendoza ของหนัง 555

หนังนำเสนอชีวิตครอบครัวคนจนครอบครัวหนึ่งในโปรตุเกส เราชอบช่วงครึ่งแรกของหนังมากๆ มันทำให้นึกถึงหนังของ Mike Leigh อย่าง ABIGAIL’S PARTY (1977) และ MEANTIME (1984) ที่นำเสนอชีวิตคนจนหรือชนชั้นกลางระดับล่างได้สมจริงและน่าติดตามมากๆ

แต่ช่วงครึ่งหลังของ BLOOD OF MY BLOOD หนังมันหันไปใช้พล็อตแบบ melodrama น่ะ ถึงแม้ว่าวิธีการถ่ายและการแสดงมันยังเน้นความ realistic อยู่ แต่เหตุการณ์ในหนังมันจะมีความ “แรงๆ” หรือมีการสร้างผลกระทบทางอารมณ์ที่ชัดเจน ซึ่งมันทำให้นึกถึงหนังของ Brillante Mendoza คือเราไม่ค่อยชอบหนังของ Mendoza ในด้านการจงใจสร้างผลกระทบทางอารมณ์บางอย่างน่ะ คือหนังของ Mendoza จะไม่เร้าอารมณ์แบบหนังฮอลลีวู้ด แต่เราจับได้ว่ามันมีการจงใจสร้างอารมณ์ด้วยวิธีการที่เนียนกว่า และเราจะไม่ค่อยถูกโฉลกกับหนังของเขาตรงจุดนี้ (แต่ก็ชอบหนังของเขามากในระดับนึงนะ) เราก็เลยแอบเสียดาย BLOOD OF MY BLOOD ตรงจุดนี้ คือหนังมันขึ้นต้นเป็น Mike Leigh แต่ลงเอยเป็น Brillante Mendoza

2.ฉากที่ชอบที่สุดในหนังคือฉากคาราโอเกะ คือมึงคิดมาได้ยังไง กูยกให้เป็นหนึ่งในฉากที่ทำให้เราหัวเราะหนักที่สุดในชีวิตไปเลย คือในหนังเรื่องนี้จะมีตัวละคร “น้าสาว” คนนึงที่หาผัวไม่ได้ และพยายามเสยหีใส่หนุ่มล่ำในผับ ตัวน้าสาวนี้มีเพื่อนหญิงคนนึงที่ไปเที่ยวผับด้วยกัน และเพื่อนหญิงคนนี้ขึ้นไปร้องคาราโอเกะเพลง UP WHERE WE BELONG แต่ร้องได้เหี้ยมาก คือจริงๆแล้วตัวละครตัวนี้แทบไม่ได้ร้อง เพราะการร้องเพลงของเธอคือการ “อ่าน” เนื้อเพลงไปเรื่อยๆ คือเป็นการอ่านแบบเก๋ๆคลอไปกับทำนองเพลงน่ะ

คือในฉากนี้เราจะเห็นตัวละครน้าสาวพยายามเสยหีใส่ผู้ชายไปเรื่อยๆ แต่จะได้ยินเสียงตัวละครอีกตัวร้องคาราโอเกะเพลง UP WHERE WE BELONG ด้วยการอ่านเนื้อเพลงแบบเก๋ๆตั้งแต่ต้นจนจบเพลง แล้วมันก็เลยฮาสุดๆสำหรับเรา คือมึงไม่ต้องคิดมุกตลกอะไรอีกต่อไป แค่มึงให้ตัวละคร “อ่านเนื้อเพลง” แทนที่จะ “ร้องเพลง” แค่นี้มันก็เกิดความพิลึกพิลั่นน่าขันที่สุดแล้ว

3.ขำ “เสียงประกอบ” ในหนังมากๆ คือ 80% ของหนังจะเป็นฉากในบ้านครอบครัวนี้ แล้วเราจะได้ยินเสียงคนบ้านข้างๆด่ากันตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง แต่หนังไม่ขึ้น subtitle ให้เรารู้ว่าตัวละครบ้านข้างๆมันด่ากันเรื่องอะไรตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง เรารู้แค่ว่ากลุ่มตัวละครเอกต้องใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบนี้นี่แหละ คือได้ยินเสียงคนด่ากันอย่างรุนแรงตลอด 24 ชั่วโมง 555

4.เราว่าหนังออกแบบเฟรมเก๋ดี คือในบางฉากกล้องจะอยู่ตรงกลางระหว่างสองห้อง แล้วเราจะเห็นเหตุการณ์ในสองห้องพร้อมกัน

5.ชอบตัวประกอบชิบหายๆในหนังด้วย คือกลุ่มตัวละครหลักนี่ก็ชิบหายกันทุกตัว แล้วหนังยังชอบมีตัวประกอบชิบหายๆที่โผล่มาแค่หนึ่งนาที แต่ก็สร้างความประทับใจอย่างมาก

อย่างเช่นในฉากหนึ่งที่ตัวละครหลักสองตัวคุยกันในร้านอาหาร แต่กล้องจะถ่ายให้เห็นว่ามีเลสเบียนสองคนในร้านอาหารที่ทำหน้าทำตา ทำปฏิกิริยาอะไรกันอย่างน่าสนใจด้วย คือเลสเบียนสองคนนี้ไม่มีบทบาทอะไรอีกเลยในเรื่องนี้ พวกเธอเป็นเพียงแค่คนสองคนที่อยู่ในร้านอาหารเดียวกันกับตัวละครเอกเท่านั้น แต่พวกเธอกลับดึงดูดความสนใจของผู้ชมเป็นอย่างมาก และผู้กำกับก็จงใจให้เป็นเช่นนั้นด้วย


6.ดูจบแล้วทำให้รู้สึกชอบหนังอย่าง MISSING JOHNNY มากขึ้น คือเราว่าข้อเสียนิดนึงของ BLOOD OF MY BLOOD คือการใส่พล็อตแบบ melodrama เข้ามาในช่วงครึ่งหลังของเรื่องน่ะ เหมือนกับผู้สร้างกลัวว่าเนื้อเรื่องมันจะ “ล่องลอย” เกินไป หรือกลัวว่าชีวิตตัวละครมันจะเบาเกินไป หรือกลัวว่าชีวิตตัวละครมันจะขาดความดราม่า แต่หนังอย่าง MISSING JOHNNY กลับแสดงให้เห็นว่า เราไม่เห็นต้องยัด “เนื้อเรื่องหนักๆ” เข้าไปในหนังโดยไม่จำเป็นเลย คือมันมีความหนักใน MISSING JOHNNY อย่างเช่นฉากงานเลี้ยงวันเกิด แต่หนังไม่ได้ไปจมจ่อมอยู่กับมันมากเกินไป  MISSING JOHNNY ก็เลยรักษาโทนของตัวเองไว้ได้ดีจนจบเรื่อง

No comments: